download

My latest images for sale at Shutterstock:

My most popular images for sale at Shutterstock:

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Illustrate Emoticon


ผลงาน Illustration สร้างเป็น ภาพการ์ตูนน่ารักๆ สีสันสดใส 9 รูปแบบ 9 อารมณ์ครับ งานสไตล์นี้ เรียวกว่า Emoticon หรือ Emotion ที่เพื่อนๆคุ้นเคนจากการใช้โปรแกรมแชทต่างๆ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ไอคอนแสดงอารมณ์ นั่นเอง ผลงานชิ้นนี้สรางจากโปรแกรม Illustrator CS3 ทั้งหมด เพื่อนๆคนไหนที่มีความสามารถด้านการออกแบบคาแรคเตอร์แล้วละก็ สามารถทำงานไสตล์นี้ได้ไม่ยากเลยครับ

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศิลปะแบบ Expressionism

ศิลปะแบบ Expressionism นั้นเกิดขึ้นทางเหนือของยุโรป โดยที่ศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ศิลปะแนวนี้ ได้รับอิทธิพลจากศิลปินสำคัญ 2 คนคือ Vincent Van Gogh และศิลปินชาว Norwegian ที่ชื่อ Edvard Munch ซึ่งทั้งสองคนนี้ ใช้สีที่รุนแรง และเกินความเป็นจริง โดยเน้นความพอใจของศิลปินเป็นหลัก ไม่ยึดถือ กฏเกณฑ์ และธรรมเนียมใดๆในอดีตเลย สีที่ใช้นั้นจะสื่อถึงพลังที่ถูกบีบคั้นบังคับกดดัน ที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิด ของจิตใจคน เป็นการปดปล่อยอารมณ์ผ่านสี และฝีแปรงที่ให้ความรู้สึก ที่แข็งๆ ดิบ รุนแรง

ศิลปะ Expressionism ในเยอรมันมี 2 กลุ่มคือ
1 Die Brucke ที่แปลว่า สะพาน กลุ่มนี้จะเชื่อมโยงศิลปะที่แปลกแนวต่างๆ
2 Der Blaue Reiter ที่แปลว่า คนขี่ม้าสีนำเงิน ชื่อนี้ได้มาจากหนังสือที่ Kandinsky จัดพิมพ์ โดยชื่อหนังสือนี้ ก็ได้มาจากงานเขียนของ Kandinsky เองอีกทีหนึ่ง

กลุ่ม Der Bladue Reiter นี้จะมีความสำคัญกว่ากลุ่ม Die Brucke โดยกลุ่มนี้มี Kandinsky เป็นผู้นำ กลุ่ม Kandinsky เกิดใน Moscow โดยเขาเป็นนักศึกษากฏหมายและเศรษศาสตร์ แต่เมื่อเขาได้ไปเที่ยวที่ Paris และได้ดูงานแสดงศิลปกรรมทำให้ Kandinsky ตัดสินใจเป็นจิตรกรเมื่ออายุได้ 30 ปี ในหัวของ Kandinsky นั้น เขาคิดว่าจะทำงานศิลปะในแบบ Non - Objective Painting หรือ ภาพจิตกรรมที่ไม่มีเรื่องราวเขาได้เขียนตำรา ที่ศึกษาค้นคว้ามาอย่างหนักชื่อ "Concerning the Spiritual in Art" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง ศิลปะ และ ดนตรี โดย Kandinsky เองเกิดความรู้สึกในเรื่อง Dematerialization ในงานของ Monet และในงานของพวก Impressionism ,Symbolists, Fauves, Cubism, โดย Kandinsky เองเขามั่นใจว่า ศิลปะนั้นน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับทางจิตวิญญาณ (Spiritual) มากกว่าวัตถุ (Material) โดย Kandinsky พูดไว้ว่า "หลักการประสานสี และรูปทรง ย่อมขึ้นอยู่กับการจับจิตวิญญาณของมนุษย์เพียงเท่านั้น" ศิลปะแบบ Expressionism นี้จะมุ่งการแสดงออกทางความรู้สึก อารมณ์ จิตวิญญาณ มากกว่ามุ่งนำเสนอความเป็นจริง ทางวัตถุ โดยสื่อผ่านการใช้สีที่รุนแรง กดดัน ฝีแปรงที่อิสระ โดยรับเอาอิทธิพลของกลุ่มศิลปะต่างๆเช่น การรับสีสด และฝีแปรงอิสระจากศิลปะแบบ Fauvism, ความรู้สึกบีบคั้นกดดันจากจิตใจของมนุษย์จาก Van Gogh หรือแม้ กระทั่ง ลักษณะการตกแต่งจากศิลปะแบบ Art Nouveau
The Night Cafe ภาพนี้ Van gogh วาดขึ้นในช่วงปี คศ. 1888 ซึ่งเป็นช่วงที่ Van gogh ได้ย้ายไป อยู่ที่เมือง Arles ใน Provence ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส ณ.ที่นี้เอง Van gogh ได้ทุ่มเทในการ ทำงานของเขาอย่างบ้าคลั่ง ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในสภาพความเป็นอยู่ที่อัตคัต ขัดสน และช่วงเวลานี้เองที่ Van gogh ได้วาดภาพ ที่มีชื่อเสียงมากของเขาภาพหนึ่ง เป็นภาพภายใน Cafe แห่งหนึ่ง Van gogh ได้ใช้สีแดงกับ สีเขียว ตัดกันอย่างรุนแรงมากๆ ซึ่งทำให้รู้สึกว่า Cafe แห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ ที่อาจทำให้คนเข้ามาเสียผู้ เสียคน เสียสติ หรือก่ออาชญากรรมได้ หรือพูดง่ายๆก็คือ Cafe แห่งนี้เป็นที่รวมของพวกคนไม่ดีทั้งหลายแหล่ คนที่ล้มเหลวในชีวิต ที่โต๊ะมีคนเมานอนฟุบหมดสติอยู่

ภาพ Night Cafe ของ Van gogh ภาพนี้นั้น เป็นการริเริ่มที่จะเป็นศิลปะ แบบ Expressionism โดยเห็นได้ จากการใช้ฝีแปรงที่ขาดห้วน ใช้เส้นง่ายๆ ที่มีพลังส่งอารมณ์บวกกับการใช้สี ที่แสดงความรู้สึกสีที่สื่อความหมาย และสีที่จัดตัดกันอย่างรุนแรง เช่น สีแดงกับสีเขียว และการใช้สีและฝีแปรงลักษณะนี้นี่เองที่ส่งอิทธิพลอย่างมากให้กับ ศิลปะ Expressionism ในช่วงต่อมา

Edvard Munch เขาเป็นผู้บุกเบิกศิลปะ Expressionism คนสำคัญ ภาพรูปคนกำลังหวีดร้องนี้ (The Scream) เป็นส่วนหนึ่งของความคิด "Frieze of Life" ของเขา ซึ่งก็คือความคิดในเรื่องของครรลองชีวิต ทั้งในเรื่องของความรัก และความตาย ภาพนี้ Munch ได้แรงดลใจมาจากตอนที่เขาเดินอยู่ที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง ในยามที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน และขณะนั้น Munch เองไม่สบายเจ็บป่วยและเหน็ดเหนื่อยมาก โดยที่บรรยายกาศ รอบข้างนั้นชวนให้รู้สึกหดหู่ กดดัน เมฆมืดครึ้มตกลงมาตำปกคลุมไปทั่ว ความรู้สึกกดดันและความรู้สึกเจ็บปวดนี้ Munch ถ่ายทอดออกมาด้วยการใช้ที่ แสดงความเจ็บปวด รูปทรงที่บิดเบี้ยว สับสน ยุ่งเหยิง เส้นที่หมุนวนทำ ให้ดูแล้วรูสึกเวียนศรีษะ เส้นทะแยงมุมที่เป็นราวสะพานนั้นได้สร้างให้ Perspective ที่บิดเบือนไปทั่วทั้งภาพ สีแดงกับสีม่วงอมนำเงินที่ตรงกันข้ามนี้ ได้ถูกนำมาผสมกัน ซึ่งการผสมกันของสีนี้นี้บวกกับองค์ประกอบต่างๆ ที่กล่าวมามันทำให้ภาพนี้ กดดันทั้งประสาทตาที่ดูแล้วรู้สึกเวียนศรีษะ กับโสทประสาทของหูที่ต้องรับฟังเสียง กรีดร้องที่ดังมาก ซึ่งทั้ง 2 โสทประสาทนี้ ถูกดึงเข้ามาเชื่อมโยงกันอย่างที่ไม่ค่อยมีใครเคยทำมาก่อนทั้งนี้ เพราะ ว่างานศิลปะของ Munch นั้นเขาได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหา และเพียรคิด ค้นคว้า ทดลองหารูปทรงที่แปลกมา ใส่ในภาพของเขา เพื่อให้ได้ภาพที่คนดูอย่างเรา แถบจะได้ยินเสียงหวีดร้องออกมาจากภาพนี้เลยทีเดียว

ขอขอบคุณ http://artofcolour.com/

Impressionism


ชื่อของศิลปะแบบ Impressionism ก็ได้มาจากภาพที่ชื่อ Impression Sunrise นี้ของ Monet นั่นเอง ศิลปะในแบบ Impressionism ได้ปฏิวัติรูปแบบของการใช้สีที่แหวกแนวโดย ยึดเอาหลักทฤษฏีของท่าน Sir Isacc Newton ในเรื่องของแสงสีขาว ที่ส่องผ่านแท่งแก้วปริซึม แล้วกระจายสี ออกมาเป็นสีรุ้งหลากสี แต่ศิลปิน Impressionism ได้นำเอาทฤษฏีนี้มาใช้ในทางกลับกัน นั่นก็คือ การกระจาย แสงออกมาก่อน แล้วให้ตาคนดูผสมสีต่างๆ หรือที่เราเรียกกันว่า "Optical Mixture" นั่นเอง เอาเองดังนั้นการ ใช้สีของศิลปินกลุ่ม Impressionsm นี้จะต้องคำนึงว่าวัตถุกับสิ่งแวดล้อม นั้นต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกสิ่ง ทุกอย่างมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน สะท้อนแสงสีและเงาใส่กัน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ศิลปิน Impressionsm ส่วนใหญ่ชอบที่จะออกไปวาดภาพกลางแจ้ง เพื่อที่จะได้บันทึกบรรยากาศที่มีแสงสะท้อนจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้าง ทำให้เกิดเป็นสีสันหลายหลายขึ้น ณ.เวลานั้น และ เมื่อภาพที่ศิลปินเห็นนั้น เกิดจากแสงมากระทบตาพวกเขา จึงใช้วิธีแตะแต้มสีชิดๆกันไป ให้เหมือนกับแสงสะท้อนจากใบไม้ ผิวนํ้า และกลุ่มเมฆ นอกจากนี้ยังมีทฤษฏีของ Eugene Chevreul ในเรื่อง "หลักการประสานกันและตัดกันของสี" เข้ามาร่วมด้วย จากทฤษฏีของ Eugene นี้ทำให้ศิลปิน Impressionsm อย่าง Monet ได้รับรู้ว่าเงาของสิ่งต่างๆเป็นสีตรงข้ามของสิ่งนั้นการที่ใช้ทฤษฏี Optical mixture มาใช้ในการแตะแต้มสีลงบนผืนผ้าใบ นี้ทำให้ได้สีที่มีความเข้มสดขึ้นมากกว่าเดิมที่มีการ ผสมสีบนจานสี โดยถ้าศิลปินใช้สีตรงข้ามมาแตะแต้มไว้ชิดๆกัน ถ้าแต้มเป็นบริเวณกว้างพอจะช่วยส่งให้เกิด ความเข้มข้นซึ่งกันและกัน

ศิลปะ Impressionism นั้นจะมุ่งเน้นถึงการวาดภาพที่จับซึ่งสายตาสัมผัสรับรู้ในช่วง ณ.เวลานั้น และ เป็น ช่วงเวลาที่ฉับพลัน และจะมีการแยกแยะสีที่จะเข้ามาประกอบกันเข้าเป็นแสงที่ส่องต้องสิ่งต่างๆ ทำให้เกิดพื้นผิวภาพ ที่เต็มไปด้วยสีสันที่แปรเปลี่ยนเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและศิลปิน Impressionism ที่ทำงานในรูปแบบนี้ก็มี Monet และ Renoir ส่วนศิลปินอย่าง Manet และ Degas นั้นจะ ทำงานในแบบ Impressionism ในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งจะกล่าวถึงในโอกาศต่อไป

Renoir เป็นศิลปิน Impressionsm ที่อาจเรียกได้ว่าวาดภาพได้ อ่อนหวานที่สุดของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสี หรือ ฝีแปรง ก็ตามภาพของ Renoir จะมีความใสสว่างอยู่เสมอ Renoir จะใช้แสงเป็นตัวสำคัญที่จะถ่ายทอดธรรมชาติ ออกมาบนผืนผ้าใบ โดยเขายึดหลักที่ว่า "สีสัน และและรูปทรงทั้งหลาย จะปรากฏให้เห็นได้ก็ด้วยแสงเท่านั้น ถ้าหาก สิ้นแสงก็จะไม่มีสี และรูปทรง"

Boating on the seine ภาพนี้เป็นภาพของแม่นำ Siene ในกรุง Paris จะเห็นได้ถึงเงานำที่ กระเพื่อม เป็นระรอก และมีการสะท้อนแสงโดยใช้ฝีแปรง ที่ขาดตอนเป็นช่วงๆ เพื่อที่จะจับความรู้สึกของความเคลื่อนไหว และแสงที่สั่นสะเทือน ฝีแปรงของ Renoir จะนุ่มเบาทั่วทั้งภาพ จะอาบอิ่มไปด้วยแสงแดดที่อบอุ่น ในภาพนี้เราจะ สัมผัสได้ ถึงทฤษฏีที่ เรียกว่า "Optical mixture" ซึ่งทำให้ภาพนี้ออกมาเก็บได้ถึงรายละเอียดในธรรมชาติ ได้อย่างหมดจด ทั้งแสงแดดทั้งอากาศ เงาของนํ้า ล้วนแล้วทำให้เป็นภาพที่มีทิวทัศน์ที่ปรอดโปร่ง อากาศถ่ายเท ได้มากที่สุดภาพหนึ่งนั่นเอง

Women with Parasal เป็นภาพภรรยาของ Camille ภรรยาของ Monet กับลูกชาย ของเขาที่ชื่อ Jean ชื่อ Parasal นั้นเป็นชื่อร่มของฝรั่งเศส ภาพนี้แสดงถึงวันที่มีอากาศ ที่ดีมากๆ ท้องฟ้าสดใส แสงแดดที่อบอุ่น ภรรยาของ Monet ยืนอยู่บนยอดเขา เราจะเห็น ตรงบริเวณเงาของ Camille นั้น Monet ได้ใช้สี Blue Violet ที่เขาชื่นชอบ มาแตะแต้ม สิ่งที่ภาพนี้แสดงความเป็น Impressionism ได้อย่างเด่นชัดนั่นก็คือการบันทึกความฉับพลัน ของภาพที่เกิดขึ้น เราจะเห็นได้ว่า ทุกกสิ่งในภาพนี้เกิดจากความฉับพลัน กล่าวคือ เป็นการ จับอากัปกริยาของ Camille ใน ณ.ช่วงเวลานั้น จะเห็นได้ชัดเจนก็คือตรง บริเวณหน้าของ Camille นั้นเธอกำลังจะหันหน้าไปอีกทางนึงพอดี Monet แสดงภาพนี้ออกมาถึงความรู้สึก เคลื่อนไหว ได้อย่างน่าชมเชยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นต้นหญ้าที่โดนลมพัด ได้พริ้วไหว ราวกับการเต้นรำของต้นหญ้า ชายกระโปรงที่ถูกลมพัด นอกจากนี้ Monet ยังแสดงให้เห็นถึง ไอแดดที่ ฟุ้ง ทำให้เราเห็นหน้าคนนั้นไม่ชัด ซึ่งมันก็เป็นจริงในธรรมชาตินั่นเอง

ในส่วนของ Techniques นั้น Monet ได้ใช้ฝีแปรงที่ทิ้งรอยกว้าง และขาดช่วง ใช้สีแท้ที่ยังไม่ได้ผสม โดยมีการให้ตาของคนดูผสมสีเอาเอง จึงทำให้ภาพนี้ดูแล้ว มีความสดชื่นของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ทั้งสายลมแสงและไอแดดจนอาจแถบที่เราจะพูดได้ว่าเราได้กลิ่นของ ต้นหญ้าที่อยู่ด้านหน้าของภาพนั้น เลยทีเดียว


Claude Monet : Water Lilies (The Clouds)

Claude Monet : The Studio-Boat

Edouard Manet : Boating C.1874

ขอขอบคุณ http://artofcolour.com/impressionism.html

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Mascto Design Kinsen

ผลงาน Mascot Design ของร้านอาหารอินเทรนด์ชื่อดังของเชียงใหม่ ร้านกินเส้น ครับ คอนเซ็บของร้านคือเป็นร้านอาหารวัยรุ่น (แบบพวกเรา) ที่มีเฉพาะอาหารที่เป็นเส้นเท่านั้นครับ ผลงานชิ้นนี้ออกแบบโดยPking4thซึ่งเป็นพี่ชายและเป็นอาจารย์ของผมเองครับ งานนี้ ผมรับคอนเซ็บมาแล้วให้พี่ชาย เป็นคนออกแบบ ซึ่งสามารถออกแบบ Character ได้ดีมากๆ ผลงานมีทั้งหมด 2 เวอร์ชั่นครับ (แก้งานครั้งนึง)
ผลงานเวอร์ชั่นแรก ทางลูกค้าบอกว่าไม่แนวเท่าไหร่ วัยรุ่นไม่โดนใจจึงมีการปรับแก้อีกครั้งหนึ่ง
เวอร์ชั่นต่อมาจึงปรับเครื่องแต่งกายและทรงผมซะใหม่ให้ทันสมัย แว้นซ์บอยสก๊อยเกิลร์กันเลยทีเดียว ผลงานก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่หละครับ

โดยทางลูกค้าให้เว้นช่องคำพูดไว้ เพื่อที่จะนำไปทำอะไรซักอย่าง ซึ่งผมก็รอดูอยู่เหมือนกัน ถ้าทางลูกค้าทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะติดตามงานมาให้เพื่อนๆได้ชมกันครับ

หนังสือเรียนภาษาไทยในอดีต

ย้อนอดีตไปยังสมัยเยาวัย เพื่อนๆเคยเรียนเล่มไหนบ้าง หรือ มีความทรงจำดีๆกับหนังสือภาษาไทยเล่มไหน เชิญมาย้อนอดีตไปกับเรา นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้การออกแบบปกหนังสือในอดีต ว่ามีการจัดวางอย่างไร ใช้เทคนิคไหนทำ ลองนึกดูเล่นๆว่า ถ้าผู้ออกแบบไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้อย่างทุกวันนี้ แล้วเค้าใช้อะไรออกแบบปกหนังสือเหล่านี้ออกมา จนมีความสวยงาม ตามยุคสมัย














วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประยูร จรรยาวงษ์ "ราชาการ์ตูนไทย"


ได้รูปจักศิลปินชื่อดังจากทุกมุมโลกมามากมาย คราวนี้ลองมาทำความรู้จักกับ ศิลปินเอกชาวไทย ที่หลายๆคนยังคงจดจำผลงานอันน่าประทำบใจของท่านผู้นี้ได้เป็นอย่างดี ท่านผู้นั้นคือ ประยูร จรรยาวงษ์ ผู้ได้สมญานามว่า"ราชาการ์ตูนไทย"

ประยูร จรรยาวงษ์ เป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดเมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ชีวิตในวัยเด็กสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก จบมัธยมตอนต้นจากโรงเรียนวัดราชาธิวาส และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๘) จากโรงเรียนเบญมบพิตร

ชีวิตในวัยหนุ่ม มีจิตใจรักงานเขียนหนังสือและการ์ตูน ทั้งยังมีโอกาสติดตาม ครู อบ ไชยวสุ นักหนังสือพิมพ์และนักเขียนอาวุโส เจ้าของนามปากกา "ฮิวเมอร์ริสต์" ไปตามหนังสือพิมพ์และโรงพิมพ์ต่างๆ เนื่องจากครูอบ เป็นนักเขียนที่รอบรู้ ความสามารถในภาษาสูง และโด่งดังในการเขียนนิยาย เรื่องที่ให้อารมณ์ขัน ประยูร จรรยาวงษ์ จึงซึมซับเอาจิตใจในการเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์และอารมณ์ขันของท่านประกอบเข้ากับอารมณ์หรือความรู้ของตนมาสะท้อนออกทางการ์ตูนได้หลากหลายลีลา แม้ว่าอาชีพนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์จะเป็นอาชีพที่คนสมัยนั้น ถือว่าไส้แห้งก็ตาม แต่ประยูร จรรยาวงษ์ ก็ได้ลาออกจากงานที่การรถไฟแห่งประเทศไทย เข้ามาทำหนังสือพิมพ์ด้วยใจรัก

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษประชามิตร ลงพิมพ์การ์ตูนเรื่อง "จันทโครบ" ที่ใช้บทลิเกบรรยายเรื่อง ฉาก และคำพูดของตัวละคร ปรากฏว่า ผู้คนชอบกันมาก เรื่องนี้จึงเป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้ประยูร จรรยาวงษ์ โด่งดัง หนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษประชามิตร ยังเป็นแหล่งกำเนิดของตัวการ์ตูนสำคัญในชีวิตของประยูร จรรยาวงษ์ นั่นคือ "ศุขเล็ก" พระเอกลิเก(การ์ตูน) ชื่อดังซึ่งล้อเลียนมาจากยอดนักมวยไทยสมัยนั้นคือ "สุข ปราสาทหินพิมาย" หรือ "ยักษ์สุข" นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ประยูร จรรยาวงษ์ เคยกล่าวไว้ในการ์ตูนเรื่องยาวว่า "เรื่องลักษณวงศ์ เป็นเรื่องที่ผมรักที่สุดเรื่องหนึ่งในการเขียนการ์ตูนของผม เพราะลีลาของเนื่อเรื่องก็ดี ตลอดจนอารมณ์ของผมในระยะการเขียนเรื่องนี้ อยู่ในภาวะที่สงบและเป็นสุข ฉะนั้นการ์ตูนเรื่องยาว เรื่องลักษณวงศ์จึงออกมาในรูปแบบที่สมบูรณ์พอควร..."

ประยูร จรรยาวงษ์ ไม่เป็นเพียงแต่เขียนการ์ตูนเท่านั้น ยังเคยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเอง หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง ได้ไปเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อโยธยาอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาอารีย์ ลีวีระ ชวนให้มาร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ สยามนิกร และพิมพ์ไทย ที่โด่งดังสมัยนั้น จนในที่สุด อารีย์ ลีวีระ ก็ถูกลอบสังหารด้วยอิทธิพลทางการเมืองถึงแก่กรรม นอกจากนี้ ประยูร จรรยาวงษ์ ยังเคยเป็นบรรณาธิการ สยามสมัยรายสัปดาห์ ด้วย

การเสียชีวิตของ อารีย์ ลีวีระ ทำให้ต้องย้ายมาทำงานที่หนังสือพิมพ์เสียงอ่างทอง แล้วไปเขียนการ์ตูนการเมืองประจำที่หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก่อนกลับมาทำงานอย่างยืนยาวที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ จนถึงแก่กรรม สำหรับผลงานที่แสดงถึงความสามารถ และฝีไม้ลายมือของ ประยูร จรรยาวงษ์ ในระดับนานาชาติ ได้แก่การรับรางวัลชนะเลิศการประกวดเขียนภาพ การ์ตูนของโลกที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นภาพการทดลองระเบิดปรมาณูลูกสุดท้าย และรางวัลแมกไซไซสาขาผู้นำชุมชนในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ชีวิตของประยูร จรรยาวงษ์ เป็นชีวิตที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งล้มเจ็บลงด้วยโรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง ต้องหยุดเขียนการ์ตูนและคอลัมน์ต่างๆ อย่างสิ้นเชิง ตามคำแนะนำของแพทย์ และถึงแก่กรรมในกลางดึกของวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๕ ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร

ไมเคิลแองเจลโล

ไมเคิลแองเจลโล หรือชื่อเต็มว่า ไมเคลิแองเจลโล ดี โลโดวีโก บัวนาร์โรตี ซีโมนี เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมอีกด้วย เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1475 และเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ ภายหลังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David)

หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรมเมื่ออายุ 21 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มีเกลันเจโล สร้างประติมากรรมรูปเดวิด ตอนอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมันนั่นเอง ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี ไมเคิลแองเจลโลเดิมทีเป็นคนที่เกลียด เลโอนาโด ดาวินชี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี และไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก (คล้ายกับ "การที่เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้") ในช่วงนี้ (1497-1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า ปีเอตะ (Pietà) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica) ที่กรุงโรม

ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับ พระสันตะปาปาจูเลียส ที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา จนมาสำเร็จในปี 1545 ต่อมาในปี 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม

เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Last Judgement (Last Judgment) ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี


ไมเคิลแองเจลโล บัวนาร์โรตี เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 90 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจาก พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของ ไมเคิลแองเจลโล ให้ยืนยาวออกไปอีก"