download

My latest images for sale at Shutterstock:

My most popular images for sale at Shutterstock:

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประยูร จรรยาวงษ์ "ราชาการ์ตูนไทย"


ได้รูปจักศิลปินชื่อดังจากทุกมุมโลกมามากมาย คราวนี้ลองมาทำความรู้จักกับ ศิลปินเอกชาวไทย ที่หลายๆคนยังคงจดจำผลงานอันน่าประทำบใจของท่านผู้นี้ได้เป็นอย่างดี ท่านผู้นั้นคือ ประยูร จรรยาวงษ์ ผู้ได้สมญานามว่า"ราชาการ์ตูนไทย"

ประยูร จรรยาวงษ์ เป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดเมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ชีวิตในวัยเด็กสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก จบมัธยมตอนต้นจากโรงเรียนวัดราชาธิวาส และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๘) จากโรงเรียนเบญมบพิตร

ชีวิตในวัยหนุ่ม มีจิตใจรักงานเขียนหนังสือและการ์ตูน ทั้งยังมีโอกาสติดตาม ครู อบ ไชยวสุ นักหนังสือพิมพ์และนักเขียนอาวุโส เจ้าของนามปากกา "ฮิวเมอร์ริสต์" ไปตามหนังสือพิมพ์และโรงพิมพ์ต่างๆ เนื่องจากครูอบ เป็นนักเขียนที่รอบรู้ ความสามารถในภาษาสูง และโด่งดังในการเขียนนิยาย เรื่องที่ให้อารมณ์ขัน ประยูร จรรยาวงษ์ จึงซึมซับเอาจิตใจในการเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์และอารมณ์ขันของท่านประกอบเข้ากับอารมณ์หรือความรู้ของตนมาสะท้อนออกทางการ์ตูนได้หลากหลายลีลา แม้ว่าอาชีพนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์จะเป็นอาชีพที่คนสมัยนั้น ถือว่าไส้แห้งก็ตาม แต่ประยูร จรรยาวงษ์ ก็ได้ลาออกจากงานที่การรถไฟแห่งประเทศไทย เข้ามาทำหนังสือพิมพ์ด้วยใจรัก

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษประชามิตร ลงพิมพ์การ์ตูนเรื่อง "จันทโครบ" ที่ใช้บทลิเกบรรยายเรื่อง ฉาก และคำพูดของตัวละคร ปรากฏว่า ผู้คนชอบกันมาก เรื่องนี้จึงเป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้ประยูร จรรยาวงษ์ โด่งดัง หนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษประชามิตร ยังเป็นแหล่งกำเนิดของตัวการ์ตูนสำคัญในชีวิตของประยูร จรรยาวงษ์ นั่นคือ "ศุขเล็ก" พระเอกลิเก(การ์ตูน) ชื่อดังซึ่งล้อเลียนมาจากยอดนักมวยไทยสมัยนั้นคือ "สุข ปราสาทหินพิมาย" หรือ "ยักษ์สุข" นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ประยูร จรรยาวงษ์ เคยกล่าวไว้ในการ์ตูนเรื่องยาวว่า "เรื่องลักษณวงศ์ เป็นเรื่องที่ผมรักที่สุดเรื่องหนึ่งในการเขียนการ์ตูนของผม เพราะลีลาของเนื่อเรื่องก็ดี ตลอดจนอารมณ์ของผมในระยะการเขียนเรื่องนี้ อยู่ในภาวะที่สงบและเป็นสุข ฉะนั้นการ์ตูนเรื่องยาว เรื่องลักษณวงศ์จึงออกมาในรูปแบบที่สมบูรณ์พอควร..."

ประยูร จรรยาวงษ์ ไม่เป็นเพียงแต่เขียนการ์ตูนเท่านั้น ยังเคยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเอง หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง ได้ไปเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อโยธยาอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาอารีย์ ลีวีระ ชวนให้มาร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ สยามนิกร และพิมพ์ไทย ที่โด่งดังสมัยนั้น จนในที่สุด อารีย์ ลีวีระ ก็ถูกลอบสังหารด้วยอิทธิพลทางการเมืองถึงแก่กรรม นอกจากนี้ ประยูร จรรยาวงษ์ ยังเคยเป็นบรรณาธิการ สยามสมัยรายสัปดาห์ ด้วย

การเสียชีวิตของ อารีย์ ลีวีระ ทำให้ต้องย้ายมาทำงานที่หนังสือพิมพ์เสียงอ่างทอง แล้วไปเขียนการ์ตูนการเมืองประจำที่หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก่อนกลับมาทำงานอย่างยืนยาวที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ จนถึงแก่กรรม สำหรับผลงานที่แสดงถึงความสามารถ และฝีไม้ลายมือของ ประยูร จรรยาวงษ์ ในระดับนานาชาติ ได้แก่การรับรางวัลชนะเลิศการประกวดเขียนภาพ การ์ตูนของโลกที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นภาพการทดลองระเบิดปรมาณูลูกสุดท้าย และรางวัลแมกไซไซสาขาผู้นำชุมชนในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ชีวิตของประยูร จรรยาวงษ์ เป็นชีวิตที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งล้มเจ็บลงด้วยโรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง ต้องหยุดเขียนการ์ตูนและคอลัมน์ต่างๆ อย่างสิ้นเชิง ตามคำแนะนำของแพทย์ และถึงแก่กรรมในกลางดึกของวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๕ ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร

ไมเคิลแองเจลโล

ไมเคิลแองเจลโล หรือชื่อเต็มว่า ไมเคลิแองเจลโล ดี โลโดวีโก บัวนาร์โรตี ซีโมนี เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมอีกด้วย เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1475 และเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ ภายหลังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David)

หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรมเมื่ออายุ 21 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มีเกลันเจโล สร้างประติมากรรมรูปเดวิด ตอนอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมันนั่นเอง ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี ไมเคิลแองเจลโลเดิมทีเป็นคนที่เกลียด เลโอนาโด ดาวินชี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี และไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก (คล้ายกับ "การที่เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้") ในช่วงนี้ (1497-1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า ปีเอตะ (Pietà) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica) ที่กรุงโรม

ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับ พระสันตะปาปาจูเลียส ที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา จนมาสำเร็จในปี 1545 ต่อมาในปี 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม

เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Last Judgement (Last Judgment) ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี


ไมเคิลแองเจลโล บัวนาร์โรตี เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 90 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจาก พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของ ไมเคิลแองเจลโล ให้ยืนยาวออกไปอีก"

" อีสป "เจ้าแห่งปรัชญาชีวิต...บุรุษที่คนทั้งโลกต้องรู้จัก

เรื่องราวและที่มาของนิทานอีสป เนื่องจากอีสปมีชีวิตอยู่เมื่อหลายหลายพันปีล่วงมาแล้ว จึงยากที่จะได้ข้อมูล เกี่ยวข้องกับประวัติของอีสปที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อมูล อยู่หลายกระแส แต่นักค้นคว้าประวัติส่วนใหญ่ของอีสปก็เห็นพ้องต้องกันว่า ข้อมูล ต่อไปนี้" น่าจะเป็นเรื่องราวของอีสปที่ถูกต้องมากที่สุด"
อีสป เป็นทาสชาวกรีกคนหนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลา 560-620 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 208 ปี ก่อนพุทธศักราช(พระพุทธเจ้าประสูตรเมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช) นับเวลาถึงปัจจุบันได้ 2,755- 2,815 ปี เขาอาศัยอยู่ที่เมืองซาร์ดิส บนเกาะซามอสของประเทศกรีก เกาะนี้ตั้งอยู่ที่นอกชายฝั่ง ของประเทศตุรกีในปัจจุบัน ในสมัยกรีกโบราณชายฝั่งทะเลทั้งหมดของประเทศตุรกีก็มีชาวกรีก อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น อีสปเป็นคนพิการ ขี่เหร่ แต่เขามีจิตใจที่งดงาม ซึ่งตรงกันข้ามกับ สังขารของเขา เริ่มแรกนั้น อีสปมาจากเทรซซึ่งเป็นนครรัฐแห่งหนึ่งในสมัยโบราณ ปัจจุบันเทรซ เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของกรีกและบัลแกเรีย อีสปไปทำงานเป็นทาสที่เกาะซามอสกับนายทาส ชื่อเอียดมอน ในระหว่างที่เป็นทาส อีสปได้นำชื่อเสียงมาสู่ตนเองและนายของเขาด้วยการเป็น นักเล่านิทานผู้มีความสามารถจนเป็นที่รู้จักกันดีในท้องถิ่นนั้น ในที่สุดอีสปก็ถูกปลดปล่อยให้ เป็นอิสระจากการเป็นทาส เนื่องจากความเป็นผู้ที่มีไหวพริบและสติปัญญาอันเฉียบแหลมของเขานั่นเอง
เมื่ออีสปได้รับอิสรภาพนั้น เขามีชื่อเสัยงโด่งดังในการเล่านิทานมากจนได้รับเชิญให้ไปทำงาน อยู่ในราชสำนักของกษัตริย์เครซุส ซึ่งทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายปห่งราชอาณาจักรลิเดียของ เอเซียไมเนอร์ ขณะนั้นราชสำนักแห่งนี้มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้ฉลาดรอบรู้อยู่แล้วหลายท่านเช่น โซลอน แห่งกรุงเอเธนส์ และเทลีส แห่งมิเลทัส เป็นต้น ในไม่ช้า กษัตริย์เครซุสก็ทรง โปรดปรานอดีตทาสผู้นี้อย่างรวดเร็ว เพราะทรงพอพระทัยในสติปัญญาอันเฉียบแหลมและไหวพริบ ตามธรรมชาติของเขา อีสปสามารถถวายทั้งความสนุกสนาน และแง่คิดในด้านต่าง ๆ แก่พระองค์ ทำให้ทรงเรียนรู้ความจริงหลายอย่างเกี่ยวกับการบ้านการเมืองของพระองค์จากการฟังนิทานของ อีสป มากกว่าจากการสนทนากับนักปราชญ์ประจำราชสำนักคนอื่น ๆ

ขณะนั้นกษัตริย์เครซุสทรงเป็นประมุขแห่งนครรัฐเล็ก ๆ ทั้งหลายของกรีกด้วย พระองค์ทรงส่ง อีสปให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชทูตยังเมืองหลวงของนครรัฐเหล่านี้ อีสปใช้นิทานของเขาทำให้เกิด ความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอย่างชาญฉลาด ที่เมืองโครินธ์ อีสปใช้นิทานของเขา เป็นสื่อตักเตือนชาวเมืองถึงภยันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้กฏหมู่ที่กรุงเอเธนส์ เขาใช้นิทาน เรื่อง " กบเลือกนาย "เป็นสื่อชักชวนให้ชาวเมืองเลื่อมใสในการปกครองของปีซัสเตรตัส เป็นผลสำเร็จ

อวสานชีวิตของอีสปมาถึง เมื่อกษัตริย์เครซุสส่งเขาไปปฏิบัติหน้าที่ราชทูตที่เมืองเดลฟิ ณ เมืองนี้ อีสปเล่านิทานโดยใช้สัตว์เป็นสัญาณบอกความจริงเกี่ยวกับความอยุติธรรมทางการเมืองให้ชาว เมืองรู้ การกระทำของเขาได้จุดไฟแห่งความโกรธแค้นให้ไหม้โหมกระหน่ำในหัวใจของนักการ เมืองแห่งเมืองเดลฟิอย่างหนัก นักการเมืองเหล่านี้ จึงคิดแก้แค้นอีสปโดยการแอบเอาขันทอง ศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารเทพอะพอลโลไปใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระของอีสป แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นขโมย ในที่สุด อีสปจึงถูกตั้งข้อหาว่ากระทำการลบหลู่และทำลายชาวเดลฟิอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นคนป่า เถื่อนและดุร้าย อีสปถูกตัดสินประหารชีวิตโดยถูกโยนลงมาจากหน้าผาสูงจนถึงแก่ความตาย ไปอย่างน่าเสียดายในที่สุด...
ขอขอบคุณ http://sukumal.brinkster.net/isoppu/isoppu.index.html

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผลงาน Illustrate มากิ อาหารญี่ปุ่นสุดฮิต


ผลงาน Illustrate ผลิตโดย Illustrater CS3 เซ็ทนี่เป็น อาหารญี่ปุ่นต่อเนื่องมาจาก ชุดซูชิ 4 ชิ้นก่อน ที่เห็นก็มีใส้ผัก ไส้แซลมอน หน้าไข่กุ้งแดงแตงกวา และหน้าไข่กุ้งเขียวแตงกวา ถือเป็นหารฝึกทักษะการใช้ Illustrator ที่สนุกอีกงานนึงครับ

หลากหลายภาพสัญลักษณ์ห้องน้ำ Toilet Sign

ไม่ใช่แค่ดูกันขำๆฮาๆเพียงอย่างเดียวนะครับ แนวคิดแต่ละแนว Idea บรรเจิดมากมาย ต้องยอมรับครับว่า หลายๆภาพ เมื่อดูแล้ว ทำให้อดอมยิ้มไม่ได้จริงๆครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่สัญลักษณ์ห้องน้ำ แบบธรรมดา จะก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้มากมายขนาดนี้

Vincent Van Gogh

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าชื่อเสียง ของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเอาในช่วง 3 ปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี ก็ตาม แต่เขาก็ได้สร้างอิทธิพลต่อ ศิลปะแบบอิมเพรสเช่นนิสท์ แบบโมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ ซึ่งตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ ความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของ แวน โก๊ะนั้นแสดงออกมาทางภาพที่เขาเขียน ด้วยการใช้สีอันร้อนแรง การปัดพู่กันแบบหยาบๆ และรูปแบบของลายเส้นที่ใช้จนในที่สุดก็ได้ผลักดันให้เขา จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย


Starry Night Over The Rhone


วินเซนต์ แวน โก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี ค.ศ. 1853 ที่ซันเดิรท์ ย่านบราแบรนท์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ วินเซนต์เป็นบุตรชายคนโต บิดาเป็นนักบวชนิกาย โปรแตสแตนท์ เมื่อแวนโก๊ะอายุได้ 16 ปี เขาได้ไปฝึกงานขายภาพศิลปะที่ฮูเก้นท์ เขาทำงานขายภาพทั้งในลอนดอน และปารีสไปจนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1876 แวน โก๊ะก็เริ่มตระหนักว่า เขาไม่ชอบงานขายภาพที่เขาทำอยู่เลยประกอบกับถูกปฏิเสธความสัมพันธ์จากหญิงที่ตนรัก ทำให้เขาเริ่มทำตัวออกห่างจากผู้คนมากขึ้น และตัดสินใจที่จะออกบวช แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขา ไม่สามารถผ่านการทดสอบให้เข้ามาเป็นนักบวชได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเทศน์ไป และในปีค.ศ.1878 เขาได้เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบลเยี่ยมเพื่อทำการ เผยแพร่ศาสนา โดยพกพาเอาความยากจนค่นแค้นไปตลอดการเดินทางจากการเดินทาง ครั้งนี้ แวนโก๊ะ ได้มีปากเสียงกับนักเทศน์ผู้อาวุโส ทำให้เขาถูกขับออกจากกลุ่มในปี ค.ศ.1880 ในสภาพของคนสิ้นไร้ และสูญเสียความเชื่อของตนไป เขาจมอยู่กับ ความผิดหวัง และได้เริ่มเขียนรูป แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถที่จะ เรียนรู้การเขียนภาพด้วยตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปบรัสเซลเพื่อเรียน การเขียนภาพ


The Starry Night

ในปี ค.ศ.1881 แวน โก๊ะได้กลับมาทำงานที่ฮูเก้นท์อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มทำงานกับ ช่างเขียนภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ชื่อ อันตน มัวร์ ฤดูร้อนของปีถัดมาได้เริ่มการทดลอง การเขียนภาพด้วยสีน้ำมัน และด้วยเสียงเรียกร้องภายในจิตใจของ แวน โก๊ะ ให้ไปใช้ ชีวิตตามลำพังอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวดัชท์ เพื่อเริ่มการเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงามตามท้องที่ต่างๆ เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับ การเขียนถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขา ในปี ค.ศ.1883 เขาได้สร้างงานเขียนภาพชิ้นแรก ขึ้นมา โดยให้ชื่อภาพว่า " โปเตโต อีทเตอร์ "



The Potato Eaters


เมื่อความเหงาและความอ้างว้างเริ่มเข้ามาแกาะกุมจิตใจของ แวน โก๊ะ เขาจึงออกจาก หมู่บ้านและเข้าศึกษาต่อที่ แอนท์เวอป์ ในเบลเยี่ยม แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติ ตามกฎของการเรียนที่นั่นมากนัก ช่วงที่เรียนอยู่ที่แอนเวอป์ เขาได้รับแรงบันดาลใจ จากจิตรกรที่ชื่อ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และได้เริ่มสนใจภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นด้วย ในที่สุด เขาก็ได้เลิกเรียน เพื่อไปยังปารีส ทีนั่นเขาได้พบกับ เฮนรี่ เดอ ตัวรูส และจอร์จีนส์ รวมทั้งศิลปินอิเพราสเช่นนิสท์อีกหลายคน เช่น คามิล ปิสซาโร โซรัส และคนอื่น ๆ การใช้ชีวิต 2 ปีเต็มที่ปารีสนั้น ได้ขัดเกลาฝีมือในการเขียนภาพของ แวน โก๊ะ ให้ เฉียบคมยิ่งขึ้น เขาเริ่มใช้สีสันที่มีชีวิตชีวา และไม่ยึดติดอยู่กับการเขียนภาพแบบเก่าๆ


The vase with 12 sunflowers


วินเซนต์ แวน โก๊ะ ใช้ชีวิตในตัวเมืองปารีส ได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงออกจากปารีส ไปในปี ค.ศ.1888 เพื่อไปยังเมืองอาเรสทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ที่เมืองอาเรสนั้นแวน โก๊ะได้เช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วตกแต่งบ้านด้วยสีเหลืองทั้งหมด เขาหวังที่จะตั้ง กลุ่มศิลปินอิมเพรสเช่นนิสท์ขึ้น ในเดือนตุลาคม จอร์จีนส์ได้มาอยู่ร่วมกับเขาแต่ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ต้องขาดสะบั้นลงในคืนวันคริสตมาส อีฟ จอร์จีนส์ ได้โต้เถียงอย่างรุนแรงกับแวน โก๊ะ ทำให้แวน โก๊ะ เกิดบ้าเลือดขึ้นมาแล้วตัดใบหู ของตัวเอง ทำให้จอร์จีนส์จากไป และตัวของเขาเองต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแสดงอาการต่างๆ ของแวน โก๊ะ นั้น ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและประสาทที่ผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เมื่อ แวน โก๊ะ ออกจากโรงพยาบาล เขาได้ไปอาศัยอยู่กับศิลปิน นักฟิสิกส์ ได้ประมาณ 2 เดือน และในวันที่ 27 กรกฎาคมของปี ค.ศ.1890 เขาได้ยิงตัวเอง และเสียชีวิตในอีก2 วันต่อมา

ช่วงชีวิตของ แวน โก๊ะตอนที่อยู่ที่อาเรสนั้น ได้สร้างผลงานเขียนภาพที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ มากมาย เขาเขียนภาพของธรรมชาติอันงดงาม ภาพทุ่งหญ้ายามต้องแสงอาทิตย์ ภาพของดอกไม้นานาชนิด และภาพดอกไอริสที่มีชื่อเสียงนั้นสามารถขายได้ถึง53.9 ล้านดอลลาร์ในเวลานั้น

ขอบพระคุณ http://www.spu.ac.th/ เว็บไซท์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผลงานออกแบบ Logo and Stationary Craftpier

งานออกแบบ Logo and Stationary บริษัท craftpier เป็นบริษัท ออกแบบและผลิตงานศิลปะหัตถกรรมของทางภาคเหนือครับผม งานเซ็ทนี้เป็น งานนำเสนอ เพื่อให้เค้าเลือกแบบในขั้นตอนแรก มีทั้งหมด 5 แบบครับ
เพื่อนๆชอบแบบไหนลองแสดงความคิดเห็นได้ครับ เพื่อนเป็นการฟรับปรุงและพัฒนาต่อไป

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มาชูปิกชู

อารยธรรมชุมชน การอุทิศ (Community, Dedication)
คุซโก เปรู

มาชูปิกชู หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกลืมโดยคนภายนอกจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454
มาชูปิกชูสร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 1993 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของอินคา และใช้ชีวิตในมาชูปิกชูจนกระทั่งชาวสเปนได้ชัยชนะเหนือเปรูใน พ.ศ. 2454
เมื่อไม่นานมานี้นักพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีแสดงหลักฐานว่า มาชูปิกชูไม่ได้เป็นกลุ่มหรือเมือง แต่เป็นการสร้างที่พักอาศัยของผู้ดีชาวอินคา (คล้าย ๆ กับบ้านพักตากอากาศของเศรษฐีชาวยุโรป) พื้นที่โดยส่วนใหญ่เป็นปราสาทและวัดที่สร้างเพื่อถวายแค่เทพพระเจ้าของชาวอินคา และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่สร้างเพื่อผู้ดูแลศาสนสถานมีการตั้งสมมุติฐานว่าในมาชูปิกชูมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่สูงสุดประมาณ 750 คน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง บางส่วนจะอาศัยอยู่ในเมืองระหว่างฤดูฝน และจะกลับมาที่มาชูปิกชู เป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นในปี พ.ศ. 2456 หลังจากที่ National Geographic Society ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาชูปิกชูทั้งหมด ในช่วงเดือนเมษายน ก็ได้ทำการเผยแพร่ออกไป
มาชูปิกชูตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุสโกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตรบนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ที่ระดับ 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญยิ่งทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ และเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวเกือบทุกคนที่มาเยือนประเทศเปรู
จากยอดเขา ณ หน้าผามาชูปิกชู เป็นหน้าผาที่มีลักษณะดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำคือ แม่น้ำอารูบัมบา ที่ตั้งของตัวเมืองนับเป็นความลับทางการทหารก็เนื่องจากการเป็นหน้าผาสูงชันที่มีอันตรายที่เป็นปราการป้องกันธรรมชาติอันยอดเยี่ยมนั่นเองในปี พ.ศ. 2546 มีผู้คนประมาณ 400,000 คน ไปท่องเที่ยวที่มาชูปิกชู และยูเนสโกได้ส่งข้อความสารแสดงถึงความเสียหายจากนักท่องเที่ยวที่ไปเป็นจำนวนมาก แต่ทางผู้มีอำนาจของทางเปรูบอกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ถึงอย่างไรการคัดค้านนั้นทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ที่ไปเที่ยวชมและจำกัดจำนวนผู้เช้าชม และได้มีการเสนอให้ติดตั้งรถกระเช้า แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธอยู่ตลอดและดูไม่มีทางจะเป็นไปได้ทุกที

ครบ 7 สถานที่ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ได้เรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมมากมาย ตั้งแต่การก่อกำเนิดรากเหง้า จนถึงวันสุดท้ายแห่งการล่มสลาย การได้ศึกษาอดีต ทำให้เราได้รู้ปัจจุบัน และสามารถคาดการณ์อนาคตได้ ต่อไป ctrla จะมีอะไรมานำเสนออีกนั้น โปรดติดตามกันได้ที่นี่ครับ

เปตรา

วันนี้ฤกษ์งามยามดี มีเวลาเข้ามาอัพเดทข้อมูลให้เพื่อนๆได้อ่านกัน หลังจากไม่ได้อัพมาหลายวัน วันนี้ต่อด้วย 1 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่ที่ 6 ครับผม หลังจากที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว 5 สถานที่ด้วยกัน
วิศวกรรมศาสตร์ การรักษา (Engeneering)
จอร์แดน


นครเปตรา คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)
ชนกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เปตราคือพวกเอโดไมต์ ซึ่งเข้ามาราวปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองเปตราขึ้นมานั้นคือชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือนและอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่เปลี่ยนมาค้าขายและรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คนเผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เรียกเก็บจากผู้สัญจรก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรื่องขึ้น
สาเหตุที่เปตราตั้งอยู่บนดินแดนอันแห้งแล้ง มีแต่หินกับทรายนั้นก็น่าจะเพราะเปตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของโลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก คาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายสายเหนือ - ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส ซีเรีย นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งน้ำจืดสำคัญซึ่งต่อมาเรียกกันว่า วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส ซึ่งเล่ากันว่าเป็นน้ำที่ได้เมื่อโมเสสเสกออกมาเพื่อให้ชาวยิวได้กินแก้กระหาย เหล่าพ่อค้าหรือนักเดินทางที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันว่างเปล่าและแห้งแล้งใกล้เคียงนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมุ่งมาที่เมืองเปตราอย่างเดียว
เปตราเป็นศูนย์กลางค้าขนาดใหญ่ จนทำให้นักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความมั่งคั่งมาเล่าให้ฟัง ตามบันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกได้อธิบายไว้ว่า เมืองเปตราเป็นตลาดซื้อสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก ยางไม้หอม กำยาน เครื่องเทศของชาวอาหรับ ทองแดง เหล็ก เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น ผ้าย้อมของชาวฟินิเซียนล้วนถูกลำเลียงผ่านเมืองเปตราไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และชาวเปอร์เซีย

เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องให้ว่า ฟิโลเดมอส (Philodemos) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน และด้วยความมั้งคั้ง ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันจากแก่การพิชิต จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากภายนอก

ด้วยเหตุที่เกิดเมืองใหม่และเส้นทางค้าขายใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่าในช่วงเวลาต่อมา เปตราที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าก็เริ่มสูญเสียอำนาจลง เมืองอ่อนแอและถูกต่างชาติโจมตีเข้าได้ง่าย จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 649 (ค.ศ. 106) พวกโรมันนำโดยจักรพรรดิทราจัน หรือ ไทรอะนุส(Traianus) ได้เข้ายึดครองเปตราและผนวกนครนี้เข้าเป็นจังหวัดในจักรวรรดิโรมัน แต่เปตราก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวปี ค.ศ. 300 เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มคลอนแคลน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 906 (ค.ศ. 363) แผ่นดินไหวก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานที่ถือว่าดีมากของเมืองลง

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 เปตรากลายเป็นที่ตั้งคริสต์ศาสนามณฑลของบิชอป แล้วถูกมุสลิมยึดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อยๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Illustrate Sushi

ตามมาติดๆค้วย Tuna Sushi จาก Illustrator เทคนิคเดียวกับ ซูชิ 3 ชิ้นก่อนหน้านี้ครับผม เป็นอันว่าครบ 4 ชิ้น จัดเป็น 1 จานได้แล้วครับ

Illustrate Shrim Sushi


กลัวจะเครียดกันไปซะก่อน กับ 7 สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคใหม่ ผมขอคั่นด้วย ซูชิกุ้ง จากโปรแกรม Illustrator เทคนิคที่ใช้ก็คือ mesh ตรงส่วนบริเวรตัวกุ้ง ทำให้งานชิ้นนี้มีความเหมือนจริง 90% แฝงด้วยความเป็นภาพประกอบ อีก 10% ลองติชมดูได้นะครับ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน

1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนุษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน

2. กำแพงเมืองจีนไม่ใช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร

3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง

4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร

5. การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฏภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก

6. กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ 300 ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ มีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง

7. กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น

8. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่า กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน9. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ

กำแพงเมืองจีน

ความมานะ, ความคงทน (Perseverance, Persistence)
จีน

กำแพงเมืองจีน เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ สร้างในสมัย พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ

กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ กำแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย เชื่อกันว่า หากมองเมืองจีนจากอวกาศ จะสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้

กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นกว่า 2000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิ์องค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยกษัตริย์องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมา

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

รูปปั้นพระเยซูคริสต์

การต้อนรับ การเปิดกว้าง (Welcoming, Openness)
รีโอเดจาเนโร บราซิล

รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี